วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แก้วมังกร ลดความอ้วน ได้จริงหรือไม่ ทานแล้วเสี่ยงเป็นมะเร็งไหม


แก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ ที่มีลักษณะ ของเปลือกด้านนอก จะมีสีชมพู สีแดง หรือ สีเหลือง และ มีเนื้อข้างใน เป็นสีขาว สีแดง หรือ สีชมพู ขึ้นอยู่กับว่า เป็นแก้วมังกรพันธุ์อะไร มีรสหวาน ไปจนถึง รสหวานอมเปรี้ยว
และเป็นผลไม้ ที่หาทานได้ง่าย ราคาไม่ค่อยแพง อีกทั้งยังสามารถ ทานด้วยวิธีที่ง่าย เพราะสามารถ นำมาทานแบบสดๆ ได้เลย หรือ ถ้าหากใคร ที่ไม่ชอบทาน แก้วมังกรแบบสดๆ ก็สามารถนำมาทำ เป็นน้ำผลไม้ปั่น หรือ ทานคู่กับโยเกิร์ต ก็ได้

แก้วมังกร ลดความอ้วน ได้จริงหรือ ?

แก้วมังกรลดความอ้วน ทำให้น้ำหนักลดลง ได้จริงเหรอ ? มันเป็นคำถาม ที่มีใครหลายคนสงสัย ว่าแก้วมังกร ทานแล้วจะลด น้ำหนักได้ยังไง
คำตอบที่ชัดเจนว่า แก้วมังกรนั้น เป็นผลไม้ ที่สามารถช่วย ลดความอ้วน ได้จริง เพราะแก้วมังกร เป็นผลไม้ ที่มีน้ำตาลน้อย มีใยอาหารสูง ที่ช่วยในเรื่องของ ระบบขับถ่ายได้ดี และ เป็นผลไม้ ที่มีแคลอรี่ต่ำ
เมื่อรับประทานแล้ว จะช่วยทำให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน ทำให้ทานได้น้อยลง จึงถือได้ว่า แก้วมังกร เป็นผลไม้ ที่สามารถช่วย ลดความอ้วนได้จริง จึงเหมาะกับผู้ที่ ต้องการลดน้ำหนัก หรือ ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ถึงแม้ว่า แก้วมังกรจะเป็นผลไม้ ที่ไม่ได้มีสารอาหาร หรือ มีผลต่อการช่วย ลดน้ำหนัก ได้โดยตรง แต่ถ้าหากว่า คุณเลือกทาน แก้วมังกรแทนผลไม้ ชนิดอื่น ที่มีน้ำตาลสูง
หรือ ทานเป็นของว่าง แทนขนม หรือ จะนำมาทาน แทนอาหารมื้อเย็น คู่กับโยเกิร์ต หรือ สลัดผัก ก็จะช่วย ทำให้คุณ สามารถลดความอ้วน ได้อย่างแน่นอนค่ะ

ประโยชน์ของแก้วมังกร เพื่อสุขภาพ

เนื่องจากแก้วมังกร อุดมไปด้วยสารอาหาร ที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพ และร่างกาย ของมนุษย์ เป็นอย่างมาก เช่น ใยอาหาร, วิตามิน, แร่ธาตุ, และ คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ เป็นต้น จึงเป็นผลไม้ ที่สำคัญชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยป้องกัน และ ลดความเสี่ยง ของการเกิด โรคร้ายต่างๆ ได้หลายชนิด เลยทีเดียว

1. โรคมะเร็ง

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยป้องกัน และ ลดความเสี่ยง ของการเกิด โรคมะเร็ง ได้หลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ เป็นต้น เนื่องจากเแก้วมังกร มีสารอาหาร ที่มีส่วนช่วยในการ กำจัดสิ่งที่ สามารถทำให้ ก่อมะเร็ง ได้
สำหรับใคร ที่เคยได้ยิน หรือ กำลังเข้าใจว่า เม็ดสีดำเล็กๆ คล้ายเม็ดแมงลัก ที่อยู่ในเนื้อ ของแก้วมังกร หากทานเข้าไป ในปริมาณที่มากแล้ว จะสามารถทำให้ ก่อให้เกิด เป็นโรคมะเร็งได้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะไม่ได้มี การศึกษาใด ที่รับรองถึงแนวคิดนี้ไว้

2. โรคความดันโลหิต

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ที่ป่วยเป็น โรคความดันโลหิต ได้ดี ช่วยทำให้ การไหลเวียนของเลือด มีความสมดุล แก้วมังกรจึงเหมาะ สำหรับผู้ที่ เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ หรือ โรคความดันโลหิตสูง

3. โรคท้องผูก

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยป้องกัน อาการท้องผูก ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแก้วมังกร เป็นผลไม้ ที่มีกากใยสูงมาก จึงช่วยทำให้ การทำงานของลำไส้ มีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้ ระบบการขับถ่าย ทำงานได้ดี

4. โรคเบาหวาน

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยป้องกัน และ ลดความเสี่ยง ของการเกิด โรคเบาหวาน อีกทั้งแก้วมังกร ยังเป็นผลไม้ ที่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน ที่ดีอีกด้วย เพราะแก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มี น้ำตาลน้อย

5. บำรุงกระดูก และฟัน

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยบำรุง สุขภาพของกระดูก และ ฟัน ให้แข็งแรง และ มีสุขภาพที่ดี ไม่ให้ผุกร่อนได้ง่าย เพราะแก้วมังกร มีวิตามิน และ แคลเซียม ที่มีส่วนช่วย โดยตรงในการบำรุง ฟัน และ กระดูก ได้เป็นอย่างดี

6. บำรุงผิวพรรณ

แก้วมังกรมีส่วน ช่วยบำรุง สุขภาพของผิว ช่วยทำให้ ผิวพรรณมีสุขภาพที่ดี เปล่งปลั่ง สดใส ไม่แห้งกร้าน ทำให้ผิวชุ่มชื้น และ ยังช่วยทำให้อ่อนเยาว์ ป้องกันการเกิด ริ้วรอยแห่งวัย ได้ดี

7. กำจัดสารพิษ

หากคุณรับประทาน แก้วมังกรเป็นประจำ จะสามารถช่วยกำจัด สารพิษ และ มลภาวะต่างๆ จากการใช้ ชีวิตประจำวัน ของคุณ ที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ควันจากท่อไอเสีย, ฝุ่น และ สารเคมีต่างๆ ที่อาจแฝงมากับอาหาร ให้ออกไปจากร่างกายได้
" ทราบถึงประโยชน์ ที่มีมากมาย ของแก้วมังกรแล้ว สำหรับใคร ที่ไม่ชอบทานแก้วมังกร ก็ควรหันมาพิจารณา เลือกรับประทาน ผลไม้อย่างแก้วมังกร บ้างนะคะ หากไม่ชอบทานแก้วมังกร แบบสดๆ ก็สามารถนำไป แปรรูป เพื่อรับประทาน ก็ได้ค่ะ
และ คิดว่า แก้วมังกรคงเป็น ผลไม้ที่ถูกใจสาวๆ หรือ ใครที่ต้องการ ลดน้ำหนัก และ ควบคุมน้ำหนัก รับรองว่า ไม่ผิดหวัง อย่างแน่นอนค่ะ สำหรับการเลือก ทานแก้วมังกร เพื่อช่วยดูแลรูปร่าง ของคุณ ให้ดูดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม อยู่ตลอดเวลา "

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำให้ฟันขาว ฟอกฟันขาว สูตรฟันขาวเร่งด่วน ได้ด้วยตัวเอง

วิธีทำให้ฟันขาว


ฟัน เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่ง ที่สำคัญสำหรับมนุษย์ และ มีผลต่อบุคลิกภาพ ที่ช่วยสร้างความมั่นใจ หรือ ไม่มั่นใจ ให้แก่คุณได้ เนื่องจากสีของฟัน ที่มักสร้างความกังวล ให้ใครหลายๆ คน และทำให้ ต้องพยายามหา วิธีทำให้ฟันขาว อยู่เสมอ
โดยส่วนใหญ่แล้ว ฟันของคนเรา เมื่อถูกใช้งาน มาช่วงหนึ่งแล้ว จะมีสีฟัน ที่ไม่ค่อยขาว เพราะอาจเกิดจาก อาหาร เครื่องดื่ม หรือ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว ฟันของมนุษย์ จะไม่มีสีขาวที่เปล่งประกาย
แต่เพื่อสร้างความมั่นใจ สำหรับการยิ้ม การพูด ที่ไม่ต้องกังวล กลัวว่าใครจะเห็น ฟันเหลืองของคุณ ก็ยังพอมีวิธี ที่จะสามารถช่วย ทำให้คุณมีฟัน ที่ขาวเปล่งประกาย ได้อีกครั้ง ได้ด้วยตัวคุณเอง โดยไม่ต้องเสียเงิน จ่ายค่าฟอกฟันขาว ในราคาที่แพง

วิธีทำให้ฟันขาว

1. องุ่น

การเลือกรับประทาน องุ่น จะสามารถช่วย ทำให้ฟันของคุณ ขาวขึ้นได้ เนื่องจากในองุ่น มีฤทธิ์ช่วยขจัดคราบ บนผิวฟันได้ดี

2. แอปเปิ้ล

การเลือกรับประทาน แอปเปิ้ล จะสามารถช่วยทำให้ ฟันขาวขึ้นได้ เพราะในแอปเปิ้ล มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้น ให้ผลิตน้ำลาย ที่เป็นเสมือนน้ำยา ทำความสะอาด ที่สามารถช่วย ขจัดคราบ ที่ติดบนฟันได้

3. เปลือกกล้วย

เมื่อคุณทาน กล้วย เสร็จแล้ว อย่าพึ่งทิ้งเปลือก ของกล้วยนะคะ รู้หรือไม่ว่า เปลือกกล้วย สามารถช่วยทำให้ ฟันขาวขึ้นได้ เพียงแค่คุณ นำเปลือกกล้วยด้านใน มาขัดถูบริเวณฟัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้อย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง จะช่วยทำให้ ฟันขาวขึ้น

4. มะนาว

มะนาว เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ที่นิยมนำมาใช้ ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ เพราะมะนาว มีฤทธิ์เป็นกรด ที่สามารถช่วยขจัดคราบ ตามส่วนต่างๆ ได้อย่างมากมาย รวมถึงการช่วย ทำให้ฟันขาว โดยคุณสามารถ นำเปลือกของมะนาว มาขัดถูบริเวณฟัน แล้วล้างออก ด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็สามารถ ช่วยทำให้ฟันของคุณ ขาวขึ้นได้
แต่ไม่ควรนำมะนาว มาใช้ขัดฟันบ่อย เพราะอาจจะส่งผลเสีย ต่อเนื้อฟันได้ แนะนำควรทำเพียงแค่ 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ก็เพียงพอแล้ว

5. อ้อย

การเลือกรับประทานอ้อย จะช่วยทำให้ฟันขาวขึ้น เนื่องจากอ้อย มีฤทธิ์ที่ช่วย กระตุ้นน้ำลาย ที่สามารถช่วยขจัดคราบบนผิวฟัน และ ขณะเคี้ยวอ้อย เนื้อที่ค่อนข้างแข็งของอ้อย จะช่วยขัดถูฟัน เพื่อขจัดคราบที่ฝังตัว เป็นเวลานานบนผิวฟัน ให้ออกไปได้

6. มะขาม

รู้หรือไม่ว่า มะขามเปียก สามารถช่วยทำให้ ฟันขาวได้ โดยการนำเอา เนื้อของมะขามเปียก มาขัดถูบริเวณผิวฟัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 - 5 นาที แล้วล้างออก ด้วยน้ำสะอาด จะสามารถช่วยทำให้ ฟันของคุณขาวขึ้นได้

7. สตรอเบอร์รี่

เนื่องจาก สตรอเบอร์รี่ มีสารอาหาร และ วิตามิน ที่สามารถช่วยทำให้ ฟันขาวขึ้นได้ โดยการนำสตรอเบอร์รี่ มาปั่นให้ละเอียด แล้วฟอกทิ้งไว้ บนผิวฟัน ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วล้างออก ด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยทำให้ ฟันของคุณ ขาวขึ้นได้

สูตรฟันขาวเร่งด่วน ( มะนาว + เบคกิ้งโซดา )

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มะนาว 1 ลูก
2. เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำเบกกิ้งโซดา เทลงใส่ในชามผสม
2. หลังจากนั้น ให้คั้นเอาเฉพาะ น้ำมะนาว แล้วใส่ผสมลงไป ในเบกกิ้งโซดา
3. จากนั้นคนส่วนผสม ให้เข้ากัน
4. แล้วแปรงฟันให้สะอาด
5. แล้วนำส่วนผสมที่ได้ มาฟอกที่ฟัน ทิ้งไว้ประมาณ 3 - 4 นาที
6. แล้วล้างออก ด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด
( สูตรนี้ จะช่วยทำให้ ฟันขาวขึ้นจริง แต่อาจส่งผลกระทบ ที่ก่อให้เกิดเนื้อฟัน ถูกกัดกร่อน ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ เนื่องจากมะนาวมีกรด ที่มีฤทธิ์ทำลายเคลือบฟันได้
และเบคกิ้งโซดา ถึงแม้ว่าจะสามารถช่วย ขจัดคราบบนผิวฟัน ได้ก็ตาม แต่ว่าเบคกิ้งโซดา มีฤทธิ์เป็นด่าง ที่สามารถส่งผล อันตรายต่อฟัน และ ช่องปากได้ ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ มีปัญหาของเหงือก หรือ ปัญหาในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เป็นต้น )

" เพื่อสุขภาพที่ดี ของช่องปาก และฟัน เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้กับคุณ ดังนั้น คุณควรให้ความใส่ใจ ในการดูแลและรักษา สุขภาพของฟัน และช่องปาก ให้สะอาดอยู่เสมอ
โดยควร แปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุ หรือ กำจัดคราบ ที่เป็นสาเหตุของฟันเหลือง นั่นเอง และ ควรงดดื่ม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ ไม่ควรสูบบุหรี่ เพียงเท่านี้ ก็จะสามารถช่วยทำให้ ฟันของคุณ หมดปัญหา เรื่องฟันเหลือง ไปได้แล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วิธีการทำให้ฟันขาว ด้วยวิธีธรรมชาติ ที่คุณสามารถทำเองได้ ที่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย ที่แพงมาก ก็อาจจะไม่ได้ผล 100 % หรือ ทำให้ฟันขาวขึ้น อย่างถาวร "
" แต่ถ้าหากว่า คุณมีปัญหา ของการมีฟันที่เหลืองมาก สะสมมาเป็นเวลานาน และ เป็นคราบที่ฝังแน่น ก็ควรจะต้อง ไปพบแพทย์ เพื่อขอคำปรึกษา หรือ หาวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง และ ได้ผลที่แน่ชัด จึงจะดีกว่า"

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สักคิ้ว ประโยชน์และข้อเสีย ของการสักคิ้ว ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ


สักคิ้ว


คิ้ว เป็นมงกุฎของใบหน้า ที่สาวๆ หลายคน ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของรูปทรงของคิ้ว และการเขียนคิ้ว เพื่อให้สวย และดูดี ฉะนั้นเรื่องการตกแต่งคิ้ว สักคิ้ว ให้สวยอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับสาวๆ หลายคน
แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ หากการเขียนคิ้วเอง เป็นประจำทุกวัน จะทำให้เสียเวลาอย่างมาก เพราะการเขียนคิ้ว ต้องใช้เวลานาน เพราะถ้าหากเขียนออกมาไม่ดี ความเข้ม ความอ่อนของสีคิ้ว และรูปทรง ไม่เท่ากัน ก็จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจ
ปัจจุบันได้มีตัวช่วย อย่างการสักคิ้ว เช่น การสักคิ้ว 3 มิติ หรือ การสักคิ้ว 6 มิติ ฯลฯ เข้ามาช่วยลดเวลา ในการแต่งหน้าให้กับสาวๆ โดยการสักคิ้วแบบถาวร จะช่วยให้สาวๆ เกิดความมั่นใจ ไม่ต้องคอยกังวล ว่าคิ้วจะไม่สวย สีไม่เท่ากัน
การสักคิ้ว จึงเหมาะกับผู้ที่คิ้วไม่มีคิ้ว หรือ มีแต่บางมาก มีปัญหาในเรื่องของรูปทรงของคิ้ว หรือ ต้องการประหยัดเวลาในการเขียนคิ้ว

ประโยชน์ของการ สักคิ้ว

1. ช่วยทำให้ประหยัดเวลา ไม่เสียเวลาในขณะที่เร่งรีบ เพราะไม่ต้องมาเสียเวลา ในการนั่งเขียนคิ้ว
2. ช่วยทำให้เกิดความมั่นใจ ได้มากยิ่งขึ้น ไม่ต้องคอยกังวล ปัญหาต่างๆ ของคิ้ว อีกต่อไป
3. ช่วยแก้ปัญหา คิ้วบาง สีคิ้วไม่เท่ากัน หรือ คิ้วรูปทรงไม่สวย ให้หมดไป
4. ช่วยทำให้มีคิ้วอยู่ ขณะที่โดนน้ำ หรือ ทำกิจกรรมที่ต้อง โดนน้ำในที่กลางแจ้ง
5. ช่วยเสริมบุคลิก ให้ดูดีมากยิ่งขึ้น สวยได้ทุกที่ ทุกเวลา

ก่อนสักคิ้วควรทำยังไงดี ?

1. การเลือกความต้องการ

ก่อนอื่นควรสำรวจตัวเองดูว่า ต้องการสักคิ้วแบบไหน เช่น เลือกสักคิ้วแบบ 3 มิติ หรือ สักคิ้วแบบ 6 มิติ ฯลฯ แล้วแบบไหน ที่เหมาะกับตัวเอง ดูเหตุผลว่าสักคิ้วเพราะอะไร แล้วจะคุ้มไหม ถ้าหากต้องทำจริงๆ เพราะการสักคิ้วถาวร ก็ไม่ได้มีอายุนานมาก ต้องกลับมาทำซ้ำอีก หากเกิดความผิดพลาดแล้ว ต้องทำให้มีการแก้ไข ฉะนั้นควรคิดให้ดี ก่อนตัดสินใจ ทำการสักคิ้ว

2. การเลือกร้าน

สิ่งที่สำคัญ คือ การเลือกใช้บริการ กับร้านที่มีความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และ ความสะอาด ในเรื่องของอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ ควรดูความเชี่ยวชาญ ของผู้ให้บริการสักคิ้ว เพราะถ้าหากผู้ให้บริการ ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ ก็อาจจะทำให้ เกิดความเสียหาย ในเรื่องของรูปทรง ต้องได้ทำการแก้ไขบ่อยๆ จะทำให้เสียเวลา และค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิม

3. การเลือกราคา

เดี๋ยวนี้ร้านให้บริการสักคิ้ว มีให้บริการอยู่มากมาย ซื่งราคาของการสักคิ้ว ก็ไม่ได้มีราคาถูกเท่าไหร่ เพราะบางร้านก็มีราคาแพงเกินจริง ควรนำข้อมูลราคา จากหลายๆ ร้าน มาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ใช้บริการสักคิ้ว เพื่อให้คุณภาพ เหมาะสมกับราคา

4. ตรวจสอบตัวเอง

ควรดูว่าตัวเอง มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ในการใช้บริการสักคิ้ว เพราะมีหลายคน ที่มีอาหารแพ้สี หรือ มีโรคประจำตัว บางชนิด ที่มีข้อห้ามไม่ให้สักคิ้ว เพราะอาจทำให้ผลเสีย และ อาจได้รับอันตรายได้ เช่น ผู้ที่เป็น โรคเบาหวาน หรือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ก็ควรจะหลีกเลี่ยง การสักคิ้ว จึงจะดีกว่า

ข้อเสียของการสักคิ้ว

1. เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย ไวรัสตับอักเสบบี หรือ เชื้อเอดส์ ฯลฯ ได้ เนื่องจากการสักคิ้ว เป็นการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่สัมผัสเลือด ถ้าหากว่าอุปกรณ์ และ เครื่องมือที่ใช้ ไม่มีความสะอาด และผ่านการฆ่าเชื้อ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีโอกาศสูง ที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
2. มีราคาค่อนข้างแพง เพราะการสักคิ้ว ถือว่าเป็นงานละเอียดอ่อน ทางด้านฝีมือ ต้องใช้สมาธิ และความปราณีต ในการทำ เป็นงานศิลปะ ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ และความชำนาญ เป็นอย่างมาก
3. หากสักคิ้วเสร็จแล้ว เกิดการผิดพลาด ไม่ได้ตรงตามความต้องการ ก็จะทำให้ต้องกลับมาแก้ไข หรือ ลบรอยสักคิ้วออก ก็จะทำให้เสียเวลา และ ค่าใช้จ่าย
4. เสี่ยงต่อการแพ้สี หรือ เกิดอาการแพ้แอลกอฮอล์ได้ สำหรับผู้ที่แพ้ง่าย ฉะนั้นควรทำการตรวจ วิเคราะห์สภาพของผิว ก่อนทำการสักคิ้ว จึงจะดีกว่า
5. ต้องกลับมาทำซ้ำบ่อย ถึงแม้ว่าจะเป็นการสักคิ้ว แบบถาวรก็ตาม แต่ก็มีอายุอยู่ได้ประมาณ ไม่เกิน 3 ปี แล้วหลังจากนั้น สีของคิ้ว ก็จะค่อยๆ จางลง ทำให้ต้องทำซ้ำอีก ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพิ่มมากขึ้น

การดูแลคิ้ว หลังจากการสักคิ้ว

1. ไม่ควรออกไป เผชิญกับแสงแดด ที่จัดมากเกินไป หากมีความจำเป็น ควรหาวิธีป้องกันก่อน
2. ควรหลีกเลี่ยงน้ำ ไม่ควรให้น้ำสัมผัส กับบริเวณคิ้ว โดยตรง ประมาณ 3 - 4 วันแรก หลังจากการสักคิ้ว
3. ควรงดดื่ม เครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ก่อน ในช่วงแรกๆ
4. ควรงดการฉีด Botox และ การฉีด Filler ก่อนหลังการสักคิ้วมาใหม่ๆ ประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างน้อย
5. ควรงดการพอกหน้า หรือ การขัดหน้าก่อน ในช่วงแรกๆ
6. ควรทายาเพื่อลดอาการ ระคายเคืองของแผล จากการสักคิ้วได้
7. หากพบว่าบริเวณแผลที่สักคิ้ว มีอาการอักเสบ แผลบวมแดง ควรรีบไปพบแพทย์ โดยทันที
" สาวๆ ที่ต้องการสักคิ้ว ควรศึกษาข้อมูล ในทุกส่วนให้ดีก่อน ก่อนการตัดสินใจสักคิ้ว ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ ในการทำการสักคิ้ว หรือ เรื่องของการบริการ ราคา ฯลฯ เป็นต้น เพื่อความปลอดภัย และ ความคุ้มค่า ของผู้ใช้บริการเอง "

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

botox โบท็อกซ์ ประโยชน์ 9 ประการของโบท็อกซ์

botox

ปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธ ความสวย ความงาม กันใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย ต่างก็ต้องการ ดูดีกัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตา ก็เป็นสิ่งสำคัญมากในสังคมยุคนี้ คงไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี

รวมไปถึง การเข้าไป ใช้บริการ กับสถานที่ เพื่อความงาม  เช่น คลินิกเสริมความงาม ไม่ว่าจะเดิน ไปทางไหน ก็เจอกันเยอะ เลยทีเดียว  แต่เอ้...? เข้าไปทำอะไรกันในคลินิก

ขอยกตัวอย่าง การทำโบท็อกซ์ ที่หลายๆคน รู้จัก มักคุ้นกันดี เรามีความรู้ เกี่ยวกับ โบท็อกซ์มาแนะนำ ให้สำหรับผู้ที่ สนใจกัน ว่า ประโยชน์ของโบท็อกซ์ มีดียังไง

โบท็อกซ์Botox  คือ เป็นสารชีวภาพ ที่สร้างแบคทีเรีย ที่มีประโยชน์ ชนิดหนึ่ง ที่มีผลต่อ ระบบประสาท ทำให้เกิด อาการอัมพาต แต่โบท็อกซ์ ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย เท่านั้น แต่ยังมีข้อดี อีก ที่เราได้รับจากโบท็อกซ์ 


วันนี้จะพูดถึงเรื่อง ประโยชน์โบท็อกซ์  ที่ใครหลายๆคน อาจยังไม่รู้

1. ทำให้หน้าอ่อนเยาว์


เพราะ สารโบท็อกซ์ ยับยั้ง การหลั่งสาร Acetylcholine จากปลายประสาท บริเวณที่ เราฉีดเข้าไป ทำให้กล้ามเนื้อ บีดเกร็งตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อ คลายตัว ไม่บีบรัด ตัวมาก ทำให้สามารถ ช่วยลดเลือนริ้วรอย ตีนกา และร่องลึกบนใบหน้า ของคุณให้หายไป ในเวลาอันรวดเร็ว 

โดยการฉีด เจ้าตัวโบท็อกซ์ นี้เข้าไปภายใน เวลาแค่ไม่กี่นาที เท่านี้คุณก็จะกลับมา หน้าอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัวเลย

2. ทำให้ใบหน้าได้สัดส่วน


การฉีดโบท็อกซ์ ทำให้ ใบหน้าของคุณ เข้ารูป ได้สัดส่วน เรียวเล็ก ตามที่คุณปรารถนา เพราะสารตัวนี้ มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อ เป็นอัมพาต แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะสารตัวนี้ไม่ได้ตกค้าง แต่จะสลาย ไปเองตามธรรมชาติ


3. ทำให้ แขน ขา สะโพก และน่องเรียวเล็ก ลง


แต่อย่างไร ก็ตามหากใช้สารชนิด โบท็อกซ์  นี้ ในส่วนของ แขน ขา สะโพก และน่อง ซึ่งต้องใช้ ในปริมาณมาก จึงถือว่ามีความเสี่ยง และ อันตรายสูง ดังนั้น ต้องอยู่ในการควบคุม ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น

4. ช่วยรักษาโรคไมเกรน


สาเหตุ ของไมเกรน สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจาก อาจจะเป็นเพราะ ความเครียด ความผิดปกติ ทางพันธุกรรม หรือ การอักเสบ ของเส้นประสาท มักมีอาการปวดย้ายข้าง หรือทั่วศรีษะ ปัจจุบัน ได้มีการนำสารโบท็อกซ์ เข้ามาช่วยในการรักษา 

เพราะเชื่อว่าสารนี้ สามารถยับยั้ง ปลายประสาท ที่ส่งสัญญาณ ความเจ็บปวด ไปยังสมองได้ ทำให้ช่วย ลดอาการปวดศรีษะลง


5. ช่วยรักษาโรคตาเหล่


เป็นภาวะ ที่ผู้ป่วย มักจะมี อาการที่ตา ทั้ง 2 ข้าง ไม่อยู่ในแนวตรง ตามธรรมชาติ ซึ่งอาจเกิดจาก การมีภาวะผิดปกติ ที่ทำให้ การเคลื่อนไหวของลูกตาทั้ง 2 ข้าง ขาดการประสานงานกัน ซึ่งปัจจุบัน ทางการแพทย์ได้ใช้สาร

โบท็อกซ์  ฉีดที่กล้ามเนื้อ ของตา เพื่อช่วย ในกา รรักษา อาการตาเหล่ และ ตากระตุก ได้ชั่วคราว

6. ลดเหงื่อบริเวณรักแร้


ปัจจุบัน ทางการแพทย์  ได้นำสารชนิดโบท็อกซ์ นี้มาช่วย ในการรักษา ผู้ที่มี เหงื่ออกบริเวณรักแร้ เพราะ สามารถยับยั้ง การหลั่งของเหงื่อ บริเวณต่อมเหงื่อได้ ผลระยะเวลา ที่ได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณ ที่ฉีดเข้าไป

7. ช่วยลดอาการปวดเกร็งบริเวณต้นคอ


อาการ ปวดเกร็ง บริเวณต้นคอ อาจเกิดจากการ เคลื่อนไหว ที่ผิดปกติ ของกล้ามเนื้อคอ และ ไหล่  ปัจจุบัน ได้มีการนำสารโบท็อกซ์ มาช่วยในการรักษา โดยการฉีดเข้าไป ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง แต่ยังทำงาน ได้ตามปกติ

8. ทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง


เมื่อการ ใช้สารโบท็อกซ์ นี้ ฉีดเข้าไปใส่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้ว แน่นอนว่า จะต้องดูดีขึ้น ทำให้สวย  มั่นใจในทุกส่วน มากยิ่งขึ้น โดยที่ ไม่ว่า จะทำอะไร ก็ไม่ต้องกังวล และระแวง ในสายตา ของคนรอบข้าง อีกต่อไป

9. ช่วยรักษาโรคอัมพาตครึ่งซีกของใบหน้า


สำหรับ การรักษา โรคอัมพาตครึ่งซีก ของใบหน้า หากทำอย่าง ถูกวิธี และ ใช้สารโบท็อกซ์ ในบริมาณ ที่เหมาะสม อาจจะ เกิดผลข้างเคียงได้ น้อยมาก เพราะมี ศัลยแพทย์ หู คอ จมูก ของศูนย์แพทย์ มหาวิทยาลัยโลโยลาแห่งสหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า 

สารโบท็อกซ์ นี้ยังมีส่วนช่วย รักษาโรค ของเส้นประสาทหน้า เพื่อให้หายจาก โรคอัมพาตครึ่งซีกของใบหน้า ได้ชั่วคราว


แต่อย่างไร ก็ตามการใช้สารชนิดโบท็อกซ์ (Botox) นี้  ต้องใช้ในปริมาณ ที่เหมาะสม และ อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น  ไม่อย่างนั้น อาจจะได้รับโทษมากกว่า ได้รับประโยชน์

หน้าเด็ก เคล็ดลับหน้าเด็ก Baby face 3 เคล็ดลับ ที่ไม่ยุ่งยาก

หน้าเด็ก

สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยาก รู้ เคล็ดลับหน้าเด็กและ มี หน้าเด็ก สดใส อ่อนเยาว์ กว่าวัย ห่างไกลริ้วรอย  ที่ปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน กันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่อง ที่ใกล้ตัวมากๆ ที่ใครหลายคน อาจมองข้ามไป ละเลยไม่สนใจ 

เรามีเคล็ดลับดีๆมากบอกต่อ โดยที่ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเข้า คลินิคเสริมความงาม ไม่ต้องใช้ครีม ราคาแพง ไม่ต้องพึ่ง ศัลยกรรม งั้นมาดูกันเลยค่ะ

    1.นอนหงาย


ลักษณะ ท่านอนที่ห่างจาก หน้าเหี่ยว ริ้วรอย ที่ไม่ได้รับเชิญ คือ การนอนด้วย ท่านอนหงาย จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะการนอน ตะแคง ทำให้หน้า กดทับกันกับหมอน ทำให้หน้าเป็นรอย ย่นได้ หากมีรอยซ้ำๆ ที่เดิม อาจจะส่งผลระยะยาว ของการ เกิดเป็นริ้วรอยได้เช่นกัน

 

2.สัมผัสผิวหน้าอย่างอ่อนโยน


หากใคร ที่กำลังล้างหน้า อย่างเมามัน คิดว่าถูแรงๆ แล้วจะทำให้หน้าสะอาด ให้คิดใหม่ เพราะการล้างหน้า การเช็ดหน้า หรือ ทำความสะอาดหน้า 

ด้วยวิธีต่างๆควรล้างและสัมผัสผิวหน้าอย่างเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน ไม่ควรถูแรงเกินไป เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง เราควรดูแลรักษาอย่างดี เพื่อผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ ของเรา

 


3.อยู่ให้ห่างจากแสงแดด

 


พูดถึงแสงแดด ใครหลายคน คงกลัวกันแล้ว สินะ เพราะแสงแดด สามารถทำให้ เซลล์ผิว เราถูกทำลายลง ทำให้ผิวหมองคล้ำ ดำ ทำให้แก่ก่อนวัย และ อาจทำให้เกิด โรคมะเร็งผิวหนังได้ ที่สำคัญ อันตรายต่อ ดวงตา ของเรา อย่ามากอีกด้วย

ถ้าหากโดน แสงแดดเป็นประจำ แล้วไม่หา วิธีป้องกันแสงแดดให้ดี ฉะนั้นสาวๆควรทา ครีมกันแดด หรือ หาวิธีป้องกันที่ดี ก่อนออกมาเผชิญ อันตรายของแสงแดด เพื่อรักษาให้ หน้าเด็ก ต่อไป


"ใครสนใจ นำเคล็ดลับดีๆ แบบนี้ ลองนำไปปฏิบัติ กันดูนะคะ รับรองว่าได้ผล หน้าเด็ก อ่อนเยาว์กว่าวัย แน่นอน"

ฟิลเลอร์ อันตรายจากฟิลเลอร์ 5 สิ่งมองข้าม ที่คุณอาจไม่เคยรู้


ฟิลเลอร์


ในปัจจุบัน มักเป็นที่รู้จัก ของกลุ่มสาวๆ หรือ กลุ่มของ ผู้ที่ต้องการ ความงาม แล้วรู้หรือไม่ว่า อันตรายจากฟิลเลอร์ Filler คืออะไร ทำไมต้องฉีด? คุณทราบกันดี แล้วหรือไม่ ว่าเมื่อฉีดสารนี้เข้าไป ในร่างกาย แล้วจะได้รับโทษ หรือประโยชน์ มากหรือน้อย อย่างไรบ้าง

ส่วนใหญ่ ใครหลายคนก็จะนึกถึงแต่ผลดีที่ได้รับ หรือ เสี่ยงเพื่อความงามจนลืมนึกไปว่า อาจจะได้รับผลข้างเคียง หรือผลเสีย จากสิ่งนี้อยู่ก็อาจเป็นไปได้ หากคุณ สนใจศึกษาเรียนรู้บ้าง คุณก็จะได้หาวิธีป้องกัน และ เตรียมรับมือได้อย่างอยู่ต้อง และทันเวลา ได้


อันตรายจากฟิลเลอร์


เป็นสาร ชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ ในการเติมเต็ม ให้สำหรับผู้ที่มีปัญหา เกี่ยวกับผิว โดยเฉพาะ กับผู้ที่มีอายุมาก เพราะผิวของคนเรา ยิ่งมีอายุมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ คอลลาเจนของผิว ลดหายลงไปด้วย  เช่น ทำให้ผิวที่มีร่องลึก ริ้วรอย หน้าตอบ

ฉะนั้น ฟิลเลอร์ Filler จึงจำเป็น เพราะมีส่วนช่วยให้ใครหลายคน หมดข้อกังวลเรื่องพวกนี้ ไปได้

ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ Filler มีประโยชน์มาก เพื่อแก้ปัญหาของ ผิวหน้า ลำคอ รวมไปถึงหน้าอก เมื่อฉีดเข้าไป ในร่ายกาย แล้วจะมีอายุการใช้งาน ตั้งแต่ 4 เดือน ไปจนถึง ถาวรได้ 

และ ยิ่งมีอายุการใช้งาน ได้นานเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่า ยิ่งจะทำให้ได้รับอันตราย มากยิ่งขึ้น เท่านั้น


อาจจะพบ ผลข้างเคียง จากการฉีด ฟิลเลอร์ Filler ในบางราย


  1. หากเกิด อาการแพ้ จะทำให้เกิด อาการอักเสบ เป็นรอยนูนแดง เกิดขึ้นได้
  2. อาจมีการ เกิดผื่น รอยแดง รอยช้ำ บริเวณที่ฉีดสาร ฟิลเลอร์ Filler เข้าไป
  3. อาจทำให้ เกิดตาบอดได้ มักพบในผู้ที่ฉีดสารนี้ในบริเวณ ระหว่างคิ้ว และร่องแก้ม
  4. อาจทำให้เกิด การอุดตัน ของหลอดเลือด ทำให้เกิดเนื้อตาย ถ้าหากมีการฉีดฟิลเลอร์ ที่ผิดตำแหน่ง
  5. อาจทำให้เกิด การเคลื่อน ย้ายตำแหน่ง ของ ฟิลเลอร์ Filler ได้

รู้อย่างนี้แล้ว หากใคร ที่มีความสนใจ ต้องการฉีดสาร ฟิลเลอร์ Filler นี้เข้าไป ในร่างกายแล้ว ก็ควรจะ ศึกษาข้อมูล มาเป็นอย่างดี เช่น ข้อมูลของสาร ฟิลเลอร์ Filler ข้อมูลเกี่ยวกับ สถานที่ ที่คุณจะไป ใช้บริการ คุณควรปรึกษา และใช้บริการ กับแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น 

แต่ในทางที่ดี เราควรหันมา รักษาความงามนี้ ด้วยวิธีอื่น ก็มีหลายอย่าง อยู่เหมือนกัน เช่น การออกกำลังกาย หรือ รับประทานอาหาร ที่มีส่วนบำรุง รักษา ผิว และ อาจใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ได้มาจากธรรมชาติ ช่วยบำรุง ด้วยอีกทาง เช่น สมุนไพร ให้ตัวต่างๆค่ะ

ประโยชน์ของชาเขียว สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยชาเขียว

ประโยชน์ของชาเขียว



ชาเขียว กำลังเป็นที่นิยม เป็นเครื่องดื่ม ที่หอม อร่อย หากกินเข้าไปแล้ว จะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สามารถดื่มเป็นชาร้อน หรือ เย็นก็ได้ แต่ถ้าหาก ดื่มแบบร้อน จะได้รับประโยชน์มากกว่าชาเขียว หากดื่มเข้าไป จะให้ประโยชน์ มากมาย เช่น ช่วยแก้โรคหวัด, ลดน้ำหนัก, ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง 

และ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น ปัจจุบัน ชาเขียว ได้ถูกนำมาแปรรูป เป็น ขนม และ ในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะ ในผลิตภัณฑ์ ทางด้านความงาม ก็มีอยู่อย่างแพร่หลาย หากใครต้องการ ความงาม จากชาเขียว โดยไม่ต้องลงทุนมาก 

หรือ ซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ที่มีส่วนผสม ของชาเขียว มาใช้ ก็สามารถทำได้ มาดูกันว่า ชาเขียว จะมีส่วนช่วยใน เรื่องความงาม ของคุณ ได้ยังไง

สูตรชาเขียว ด้วยวิธีทำอย่าวง่าย เพื่อทำให้ผิวหน้า ของคุณ มีความชุ่มชื้น ไม่แห้ง ทำให้ผิวหน้า เปล่งปลั่ง สดใส ช่วยลดความหมองคล้ำ และ ริ้วรอยได้ ด้วยวิธีการ ที่ประหยัด ไม่ต้องลงทุนมาก แถมยังคุ้มค่า อีกด้วย

สิ่งที่ต้องเตรียม


- ใบชาเขียวอบแห้ง ประมาณ 1 กำมือ

- ผ้ากรองสีขาว แบบบาง จำนวน 1 ผืน

- น้ำสะอาด ประมาณ ครึ่งลิตร ( หากใส่ปริมาณ น้ำมากเกินไป จะทำให้ ความเข้มข้น ลดลง )

- ขวดสำหรับบรรจุ 1 ขวด

- สำลีแผ่น ตามจำนวนที่ต้องการ

( ปริมาณของ ใบชาเขียวอบแห้ง และ น้ำสะอาด เป็นการประมาณการเท่านั้น หากใคร ที่ต้องการให้ความเข้มข้น เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง สามารถเพิ่ม หรือลด ปริมาณ ของน้ำ และ ใบชาเขียวอบแห้ว ได้ตามความต้องการ )


ขั้นตอนในการทำ


1. ใส่น้ำลงไปในหม้อ ตั้งไฟ พอเดือด ให้นำใบชาเขียวอบแห้ง ใส่ลงไปทิ้งไว้ ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น

2. เมื่อเย็นแล้ว ให้เทน้ำใบชาเขียว ที่เราพักทิ้งไว้ จนเย็นดีแล้ว ลงไปใน ผ้าขาวบาง ที่ได้เตียมไว้ สำหรับกรอง เพื่อเอาเศษใบชาออก

3. จากนั้น ก็สามารถ นำมาบรรจุใส่ขวด ไว้ใช้ได้ ประมาณ 3-5 วัน ควรเก็บรักษา ด้วยการแช่เย็นไว้


ขั้นตอนการใช้บำรุงผิวหน้า


1. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง

2. เทน้ำชาเขียว ที่เราสกัดไว้ ใส่ลงไปในสำลีแผ่น ที่เราเตรียมไว้

3. จากนั้น นำมา แปะวางทิ้งไว้ บนผิวหน้า ประมาณ 15-20 นาที

4. เมื่อครบตามเวลาแล้ว ให้นำแผ่นสำลีออก แล้วล้างหน้า ด้วยน้ำสะอาด อีกครั้ง แล้วเช็ดให้แห้ง

   เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ ผิวหน้าของคุณ ดูดี ขึ้นมาได้ โดยไม่ต้อง จ่ายแพงเลย

"เห็นแล้วใช่ไหม ว่าชาเขียว ไม่ได้มีไว้สำหรับดื่ม เพื่อประโยชน์ ต่อสุขภาพ เท่านั้น แต่ยังสามารถ นำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ สำหรับบำรุงผิวเราให้สวย ดูดี ได้อีกด้วย"

บำรุงเส้นผม เพื่อเส้นผมที่แข็งแรง สุขภาพดี

บำรุงเส้นผม



เส้นผม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ของทุกคน มีผลต่อบุคลิกภาพ ของเราโดยตรง เพราะแค่ เปลี่ยนทรงผม ก็สามารถทำให้ บุคลิกภาพ ของเราเปลี่ยนไป ได้แล้ว ลองคิดดู ถ้าหากเราไม่มีเส้นผม
จะดูแย่แค่ไหน ปัญหาจากเส้นผม ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ก็มี อย่างมากมาย เช่น ผมร่วง ผมมัน ผมแตก แห้ง ชี้ฟู หรือ ผมขาด หลุดร่วง 
แต่ละคน ก็จะเจอปัญหา ของเส้นผม ของแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น อาจเป็นเพราะ เชื้อราบนหนังศรีษะ การดูแลรักษาที่ผิดวิธี สุขภาพที่อ่อนแอ ฯลฯ เป็นต้น สำหรับผู้ที่ รักเส้นผม 
ควร ต้องหาวิธี บำรุง รักษา และ ดูแลเอาใจใส่ เส้นผม ของตัวเองบ้าง จะช่วยให้เส้นผม ของคุณ มีสุขภาพดี และ อยู่กับคุณ  ได้นานขึ้น มาดูกันเลย ว่าวิธีการบำรุง และ ดูแลเส้นผม อย่างถูกวิธี มีอะไรกันบ้าง

การสระผม


การสระผม เป็นสิ่งที่ทุกคน ต้องทำกันเป็นประจำ อยู่แล้ว แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าวิธีที่คุณ ทำอยู่เป็นประจำนั้น ถูกต้องมากน้อยเพียงใด การสระผมที่ดี ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิปกติ ในการสระผม มากกว่าใช้น้ำอุ่น เพื่อจะทำให้ เส้นผมแข็งแรง หนังศรีษะชุ่มชื้น

และ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงศรีษะ ที่เหมาะกับ หนังศรีษะ ของตนเอง ที่ทำให้ผมคุณ มีสุขภาพที่ดี และ ควรสระผม อาทิตย์ละ ประมาณ 3-4 ครั้ง เพื่อจะได้ ไม่ทำให้ หนังศรีษะแห้ง ผมจะได้เงา มันมีน้ำหนัก มากยิ่งขึ้น

การออกกำลังกาย


นอกจาก การทำความสะอาด และ บำรุงเส้นผม แล้ว คุณควรดูแลเส้นผม ด้วยการ ออกกำลังกาย บ้าง การออกกำลังกาย ถือว่ามีส่วนช่วย ในการทำให้ ทุกส่วนของร่างกาย แข็งแรง และ สุขภาพดี ถึงจะดี แม้กระทั่ง เส้นผมของคุณ ยังได้รับประโยชน์

จากการออกกำลังกาย  เพราะ การออกกำลังกาย จะทำให้ เลือดไหลเวียนได้ดี จึงมีส่วนช่วยให้ เส้นผมคุณ มีความแข็งแรง สุขภาพดี มากยิ่งขึ้น ไม่ขาด หลุดร่วง ได้ง่าย

หลีกเลี่ยงความร้อน


คุณควรหยุดใช้ความร้อน หรือ เผชิญกับความร้อน โดยตรงกับ เส้นผมบ้าง เช่น การไดร์ผม หนีบผม หรือ ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อจัดแต่งทรงผม คุณควรหลีกเลี่ยง หรือ หยุดใช้ให้น้อยลง

เพราะนั่นเป็นตัวการ สำคัญ ที่ทำให้เส้นผม ของคุณเสียอย่างมาก และ ไม่ใช่ความร้อน เฉพาะแค่อุปกรณ์ไฟฟ้า เท่านั้น

ที่ทำให้ผมคุณเสีย คุณควรหลีกเลี่ยง แสงแดด ด้วย เพราะรังสียูวี สามารถทำให้ ผมของคุณอ่อนแอลง อีกด้วย เพื่อความ สวย เงางาม ของเส้นผม ของคุณ คุณควรหยุดการใช้ ความร้อน จึงจะดีที่สุดต่อเส้นผม

กินอาหารบำรุงเส้นผม


การรับประทานอาหาร ที่ทุกคนไม่ค่อยสนใจ การกินอาหารบางชนิด มีส่วนช่วยบำรุง เส้นผมอย่างดี ทำให้เส้นผมของคุณ มีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่หลุดร่วง ได้ง่าย

คุณควรหันมารับประทาน อาหาร จำพวก โปรตีน บ้าง เช่น ถั่วเหลือง นม ไข่ ฯลฯ เพื่อสุขภาพที่ดี ของเส้นผม

หลีกเลี่ยงการมัดผม


ควรหลีกเลี่ยงการมัดผม หรือรัดผม ที่แน่นมากเกินไป เพราะการมัดผม ที่แน่นเกินไป จะทำให้หนังศรีษะตึง ทำให้เส้นผมของคุณ ขาด และ หลุดร่วงได้ง่าย คุณควรปล่อยผม

มากกว่าที่จะมัดผม จึงจะดีกว่า แต่ถ้าหากจำเป็น หรือ หลีกเลี่ยงการรัดผม ไม่ได้ ก็ควรจะ มัดแบบไม่ให้แน่นเกินไป หรือ ใช้อุปกรณ์รัดผม ที่ไม่ทำให้การมัดผมแน่น ตึงมากเกินไป


" เพราะเส้นผม เป็นเหมือน บุคลิกภาพ คุณควรดูแล บำรุงรักษา ให้ดี อย่าปล่อยละเลย จนถึงขั้น ที่ต้องดูแลยากแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ดูแลเส้นผม ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่คุณควรจะเลือกใช้ ให้เหมาะกับเส้นผมของคุณเอง "

แต่ถ้าหากคุณ ไม่มีเวลาดูแล บำรุง รักษา เส้นผมของคุณ เพราะอาจ จะจำกัด ในเรื่องของเวลา หรือ ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เดี่ยวนี้ ก็มีสถานที่ ที่เป็นตัวช่วย ในเรื่องของเส้นผม ให้กับคุณ อย่างมากมาย ไม่ว่า

จะเป็นร้านเสริมสวย มีสามารถตอบโจทย์ ของคุณได้ ซึ่งมีมากในปัจจุบัน คุณก็สามารถ เลือกใช้บริการ ร้านเสริมสวย เกี่ยวกับ การดูแลเส้นผม ของคุณ ได้ตามที่คุณ สะดวก และพึงพอใจ ได้เลย

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีรักษาสิว แบบธรรมชาติ เพื่อผิวหน้าที่ปราศจากสิว

วิธีรักษาสิว





สิว เป็นปัญหาใหญ่ สำหรับใครหลายคน เพราะมักจะเกิดขึ้น กับทุกคน แล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้น กับใครมาก หรือน้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และ ฮอร์โมน ของแต่ละคน ที่อาจควบคุมได้ หรือ ไม่สามารถควบคุม ได้ บางครั้ง ใครหลายคน มักเกิดความสงสัยว่า ทำไมเราดูแล ผิวหน้าของเรา อย่างดี ให้สะอาดอยู่เสมอ 

แต่ทำไม ยังพบปัญหาสิวนี้อีก นั่นคง มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน และ อาจเป็น เพราะ ฮอร์โมน เพราะสิวมาจากสาเหตุหลักๆ ก็คือ

ฮอร์โมน นั่นเอง ซึ่งการที่เรา จะควบคุมฮอร์โมน มักเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก นอกจากจะต้อง ปรึกษาและรักษา กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น และสิว ที่มาจาก ฮอร์โมน มักเริ่มเกิดขึ้น กับผู้ที่ กำลังเริ่มเข้า วัยหนุ่ม สาว เป็นส่วนใหญ่ นั่นเป็นบ่งบอกถึง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งถ้าหากเป็นสิว ในลักษณะนี้ มักจะหายไปเอง แต่ต้องใช้เวลา หน่อย
 
แต่ถึงอย่างไร ในเมื่อสิวที่เรา ไม่อาจควบคุมได้นั้น ก็เกิดขึ้นมาแล้ว เราควร หา วิธีรักษา และกำจัด สิวจะดีกว่า การรักษาสิว ก็มีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ ใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ ต่างๆมากมาย รวมถึง การรักษา กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่จะดีกว่ามาก ถ้าหากเราสามารถ รักษาปัญหาสิวนี้  ได้ด้วยตัวเอง แบบประหยัด โดยไม่ต้องลงทุนเยอะ อีกทั้ง ยังไม่เป็นอันตราย และ เป็นแบบธรรมชาติ อีกด้วย


วิธีรักษาสิว แบบธรรมชาติ


1. ดื่มน้ำมะนาวคั้นสด


การดื่มน้ำมะนาว สามารถช่วยกำจัด สารพิษที่ตกค้าง ในร่างกายได้ และ มีวิตามินซี ที่สามารถช่วยเสริมสร้าง สุขภาพผิว ให้มีสุขภาพดี และ แข็งแรง ขึ้น มีส่วนช่วยให้ ผิวหน้าที่เป็นรอย 
และ เกิดการอักเสบ จากสิว ดีขึ้น แต่ถ้าใครที่ ไม่สามารถ ดื่มน้ำมะนาวได้ ก็ควร ดื่มน้ำเปล่า ไม่น้อยกว่า 2 ลิตร / วัน  แทนน้ำมะนาวได้ เพราะ การดื่มน้ำเปล่า ถือเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว 

2. พักผ่อนให้เพียงพอ


การพักผ่อน ที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ ขณะเรานอนหลับอยู่ ร่างกายจะหลั่งสาร ที่มีส่วน ช่วยซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย ออกมา จึงสามารถ ช่วยรักษา ผิวหนังที่อักเสบ หรือ เป็นแผล ให้หายเร็วมากขึ้น รวมถึง แผลที่เกิดจากสิว ก็จะหายเร็ว มากยิ่งขึ้น

3. ไม่แคะ หรือแกะ สิว


การใช้มือจับ แคะ หรือแกะ สิว บนใบหน้า ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดี เท่าไหร่ และ ไม่ควรทำ เป็นอย่างยิ่ง เพราะมือเราอาจจะมี เชื้อโรค แบคทีเรีย ฝุ่น เกาะอยู่ ถ้าหากใช้มือจับ บนใบหน้าระหว่างวัน บ่อยๆ อาจจะเป็นการ เพิ่มจำนวนของสิว ที่มีอยู่ มากขึ้นกว่าเดิม และ อาจจะทำให้หน้าเกิดเป็นรอยแผล และ เกิดการอักเสบของสิว มากกว่าเดิม


4. การพอกหน้าแบบธรรมชาติ


สูตรที่ 1

1. โดยการนำ น้ำผึ้งแท้ ( ไม่ควรใช้ น้ำผึ้งที่มีส่วนผสม ของน้ำตาล ) มาผสม รวมเข้ากับ น้ำมะนาวสด ( โดยได้จาก ผลของมะนาว คั้นสดเท่านั้น )
2. จากนั้นนำมา ทาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้น บริเวณผิวรอบดวงตา และ ผิวบริเวณรอบปาก
3. จากนั้นทิ้งไว้ ประมาณ 15-20 นาที
4. แล้วค่อยล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
( วิธีนี้ จะมีส่วนช่วย ทำให้ การอักเสบ ของสิวลดลง และ สิวยุบลงได้บ้าง )

สูตรที่ 2 

1. โดยการนำ มะเขือเทศสด 1 ลูก มาฝานเป็นแผ่นบางๆ
2. หลังจากนั้น ล้างหน้าให้สะอาด
3. แล้วนำ แผ่นมะเขือเทศ มะแปะวางไว้บนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที
4. แล้วจึงนำ แผ่นมะเขือเทศออก แล้วล้างหน้า ด้วยน้ำสะอาด
( ง่ายๆแค่นี้ ก็มีส่วนช่วย ได้เยอะเลยค่ะ วิธีนี้ ทำให้สิวยุบลง และ สามาถช่วย สมานแผล จากรอยสิวให้หายได้  ไม่ทำให้เกิดการ อับเสบของสิว และ ที่สำคัญ ยังทำให้ผิวหน้าของคุณ ขาวเนียน กระจ่างใส อีกด้วย )

สูตรที่ 3

1. โดยการนำ กระเทียมสด 5-6 กลีบ ล้างให้สะอาด
2. จากนั้น นำกระเทียม มาโขลก แล้วคั้นเอาให้ได้เฉพาะ น้ำกระเทียม ออกมา
3. พอได้น้ำกระเทียมแล้ว ให้ล้างหน้าให้สะอาด
4. แล้วก็สามารถ นำน้ำกระเทียมที่ได้ มาแต้มลงบนสิว ทิ้งไว้ ประมาณ 10 นาที
5. จากนั้น ค่อยล้างออก ด้วยน้ำสะอาด

( เพียงเท่านี้ รอยแดงของสิว ก็จะหายไป และ ทำให้สิว ยุบลงได้ง่าย อีกด้วย )


" การรักษาสิว ด้วยตัวเอง แบบธรรมชาตินี้ คุณจะใจร้อนไม่ได้ เพราะต้องค่อยเป็นค่อยไป อาจจะต้องใช้ เวลานาน เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 
การรักษาสิว ด้วยวิธีธรรมชาติ อาจจะไม่ได้ผลที่ดี กับทุกคน เพราะผิว และฮอร์โมน ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ถ้าหากคุณลอง รักษาสิว ด้วยวิธีธรรมชาตินี้แล้ว ยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงจะดีที่สุด "